1.ประเภทของสารเคมี
เนื่องจากสารเคมีมีสมบัติแตกต่างกันจึงต้องมีฉลากซึ่งแสดงข้อมูลต่างๆของสารเคมี โดยฉลากของสารเคมีที่ใช้ในห้องปฏิบัติการควรมีข้อมูลดังนี้
1.ชื่อผลิตภัณฑ์
2.รูปสัญลักษณ์ แสดงความเป็นอันตรายของสารเคมี
3.คำเตือน ข้อมูลความเป็นอันตราย และข้อควรระวัง
4.ข้อมูลของบริษัทผู้ผลิตสารเคมี
สัญลักษณ์แสดงความเป็นอันตรายมีหลายระบบ ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึง 2 ระบบ ได้แก่
1.The Globally Harmonized System of Classification and Labelling of Chemicals(GHS) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย จะแสดงสัญลักษณ์ในกรอบสี่เหลี่ยมสีแดง พื้นสีขาว
2.National Fire Protection Association(NFPA) เป็นระบบที่ใช้ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งสีแดงแทนความไวไฟ สีน้ำเงินแทนความเป็นอันตรายต่อสุขภาพ สีเหลืองแทนความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยใส่ตัวเลข 0-4 เพื่อระบุความเป็นอันตรายจากน้อยไปมาก และช่องสีขาวแสดงสมบัติที่เป็นอันตรายในด้านอื่นๆ โดย ALK แทนอัลคาไลน์(เบส) ACID แทนกรด COR แทนกัดกร่อน OXY แทนสารออกซิไดซ์ แทนกัมมันตรังสี W แทนทำปฏิกิริยากับน้ำ
นอกจากฉลากและสัญลักษณ์แล้ว สารเคมีทุกชนิดต้องมีเอกสารความปลอดภัย(safety sata sheet, SDS) ซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้สารเคมีอย่างละเอียด
2.ข้อควรปฏิบัติในการทำปฏิบัติการเคมี
ก่อนทำปฏิบัติการ
1.ศึกษาวิธีการทดลองให้เข้าใจ วางแผนการทดลอง
2.ศึกษาข้อมูลของสารเคมี การใช้เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ วิธีการทดลองที่ถูกต้องและปลอดภัย
3.แต่งกายให้เหมาะสม
ขณะทำปฏิบัติการ
1)ข้อปฏิบัติโดยทั่วไป
1.สวมแว่นตานิรภัย เสื้อคลุมปฏิบัติการที่ติดกระดุมครบทุกเม็ด สวมถุงมือเมื่อใช้สารที่มีฤทธิ์กัดกร่อน สวมผ้าปิดปากเมื่อต้องใช้สารที่มีไอระเหย และทำปฏิบัติการในที่อากาศถ่ายเทหรือในตู้ดูดควัน
2.ห้ามรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม
3.ไม่ทำการทดลองเพียงลำพัง
4.ไม่เล่น
5.ปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการทำอย่างเคร่งครัด
6.ไม่ปล่อยอุปกรณ์ให้ความร้อนทำงานโดยไม่มีคนดูแล และให้ดับตะเกียงแอลกอฮอล์หรือปิดเครื่องและถอดปลั๊กออกทันทีเมื่อใช้งานเสร็จ
2)ข้อปฏิบัติในการใช้สารเคมี
1.อ่านชื่อสารเคมีบนฉลากให้แน่ใจก่อนนำไปใช้
2.การเคลื่อนย้าย การแบ่ง และการถ่ายเทสารเคมีต้องทำอย่างระมัดระวัง
3.หันหลอดทดลองออกจากตนเองและผู้อื่นเสมอ
4.ห้ามชิมหรือสูดดมสารเคมีโดยตรง ให้โบกไอสารเข้าจมูกเล็กน้อยเพื่อดม
5.การเจือจางกรดให้เทกรดลงน้ำ
6.ไม่เทสารเคมีที่เหลือกลับเข้าขวด
7.เมื่อสารเคมีหกให้กวาดหรือเช็ด แล้วทิ้งลงภาชนะสำหรับทิ้งสาร หากหกในปริมาณมากให้แจ้งครูผู้สอน
หลังทำปฏิบัติการ
1.ทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ และวางเก็บในบริเวณที่จัดเตรียมไว้
2.ก่อนออกจากห้องปฏิบัติการให้ถอดอุปกรณ์ป้องกันอันตราย
3.การกำจัดสารเคมี
1.สารที่เป็นของเหลวละลายน้ำได้ pHเป็นกลาง ไม่เกิน1ลิตร สามารถเทลงอ่างแล้วเปิดน้ำตามมากๆ
2.สารเข้มข้นบางชนิด เช่น กรดไฮโดรคลอริก ควรเจือจางน้ำก่อนเทลงอ่าง
3.สารที่เป็นของแข็ง ปริมาณไม่เกิน 1 กิโลกรัม ใส่ภาชนะที่จัดเตรียมไว้ซึ่งปิดมิดชิด
4.สารไวไฟ ตัวทำละลายที่ไม่ละลายน้ำ สารประกอบโลหะเป็นพิษ สารที่ทำปฏิกิริยากับน้ำ ห้ามเทลงอ่างน้ำ ให้ทิ้งในภาชนะที่จัดเตรียมไว้
อุบัติเหตุจากสารเคมี
การปฐมพยาบาลเมื่อสารเคมีสัมผัสร่างกาย
1.ถอดเสื้อผ้าบริเวณที่ปนเปื้อนออก
2.สารที่ละลายน้ำได้ ให้ล้างบริเวณที่สัมผัสด้วยน้ำไหลผ่านมากๆ
3.สารที่ไม่ละลายน้ำ ให้ล้างบริเวณที่สัมผัสด้วยน้ำสบู่
4.ปฏิบัติตามข้อกำหนดในเอกสารความปลอดภัย
การปฐมพยาบาลจากสารเคมีเข้าตา
ตะแคงศีรษะให้ตาที่โดนสารเคมีอยู่ด้านล่าง เปิดน้ำไหลผ่นมากๆ พยายามลืมตาและกรอกตาในน้ำจนแน่ใจว่าหมดแล้ว แล้วนำส่งแพทย์
การปฐมพยาบาลเมื่อสูดดมแก๊สพิษ
1.ต้องรีบออกจากบริเวณที่มีแก๊สพิษ
2.หากมีผู้ที่หมดสติ ให้พาออกจากบรอเวณนั้น
3.ปลดเสื้อผ้าเพื่อให้ผู้ประสบอุบัติเหตุหายใจสะดวกขึ้น หากหมดสติให้จับนอนคว่ำและตะแคงหน้าไปด้านในด้านหนึ่ง
4.หากหัวใจหยุดเต้นและหยุดหายใจให้นวดหัวใจ(เฉพาะผู้ที่ผ่านการฝึก) แล้วนำส่งแพทย์
การปฐมพยาบาลเมื่อโดนความร้อน
แช่น้ำเย็นหรือปิดแผลด้วยผ้าชุบน้ำร้อนจนหายปวดแสบปวดร้อน แล้วทายาขี้ผึ้งสำหรับไฟไหม้และน้ำร้อนลวก หากเกิดแผลใหญ่ให้นำตัวส่งแพทย์
การวัดปริมาณสาร
ความน่าเชื่อถือของข้อมูล พิจารณาได้จาก ความแม่น คือ ความใกล้เคียงของค่าเฉลี่ยจากการวัดซ้ำเทียบกับค่าจริง และความเที่ยง คือ ความใกล้เคียงกันของค่าที่ได้จากการวัดซ้ำ
1.อุปกรณ์วัดปริมาตร ได้แก่
1.บีกเกอร์ มีขีดบอกปริมาตรในระดับมิลลิลิตร
2.ขวดรูปกรวย(erlenmeyer flask) มีขีดบอกปริมาตรในระดับมิลลิลิตร
ที่มา : https://www.google.com/url?
3.กระบอกตวง มีขีดบอกปริมาตรในระดับมิลลิลิตร
อุปกรณ์วัดปริมาตรของของเหลวที่ถ่ายเท
4.ปิเปตต์ เป็นอุปกรณ์ที่มีความแม่นสูง
5.บิวเรตต์ มีอุปกรณ์ควบคุมการไหลเรียกว่า ก๊อกปิดเปิด
6.ขวดกำหนดปริมาตร มีขีดบอกปริมาตรเพียงขีดเดียว
2.อุปกรณ์วัดมวล
เครื่องชั่งในห้องปฏิบัติการเคมีโดยทั่วไปมีเครื่องชั่ง 2 แบบ คือ เครื่องชั่งแบบสามคาน และเครื่องชั่งไฟฟ้า
3.เลขนัยสำคัญ
1.ตัวเลขที่ไม่ใช่ 0 ถือเป็นเลขนัยสำคัญ
2.เลข 0 ที่อยู่ระหว่างตัวเลขอื่นถือเป็นเลขนัยสำคัญ
3.เลข 0 ที่อยู่หน้าตัวเลขอื่นไม่ถือเป็นเลขนัยสำคัญ
4.เลข 0 ที่อยู่หลังตัวเลขอื่นหลังทศนิยมถือเป็นเลขนัยสำคัญ
5.เลข 0 ที่อยู่หลังตัวเลขอื่นหน้าทศนิยม อาจนับหรือไม่นับเป็นเลขนัยสำคัญก็ได้
6.ตัวเลขที่แม่นตรง เป็นตัวเลขที่ทราบค่าแน่นอนมีเลขนับสำคัญเป็นอนันต์ เช่น ค่าคงที่ ค่าจากการนับ ค่าจากการเทียบหน่วย
7.ข้อมูลที่มีค่าน้อยมากๆหรือมากมากๆ ให้เขียนในรูปสัญกรวิทยาศาสตร์ โดยตัวเลขสัมประสิทธิ์ทุกตัวนับเป็นเลขนับสำคัญ
การปัดเลข
1.ถ้าตัวเลขที่ถัดจากตำแหน่งที่ต้องการมีค่าน้อยกว่า 5 ให้ปัดลง
2.ถ้าตัวเลขที่ถัดจากตำแหน่งที่ต้องการมีค่ามากกว่า 5 ให้ปัดขึ้น
3.ถ้าตัวเลขที่ถัดจากตำแหน่งที่ต้องการมีค่าเท่ากับ 5 และมีตัวเลขอื่นที่ไม่ใช่ 0 ต่อท้ายให้ปัดขึ้น
4.ถ้าตัวเลขที่ถัดจากตำแหน่งที่ต้องการมีค่าเท่ากับ 5
4.1ถ้าตัวเลขที่อยู่หน้าเลข 5 เป็นเลขคี่ให้ปัดขึ้น
4.2ถ้าตัวเลขที่อยู่หน้าเลข 5 เป็นเลขคู่ให้ปัดลง
การบวกและการลบ ให้พิจารณาจำนวนทศนิยมจากจำนวนเลขที่มีตำแหน่งทศนิยมน้อยที่สุด
การคูณและการหาร ให้พิจารณาจำนวนเลขนัยสำคัญจากเลขที่มีจำนวนเลขนัยสำคัญน้อยที่สุด
การคำนวณเกี่ยวหับตัวเลขที่แม่นตรง ไม่ต้องพิจารณาเลขนัยสำคัญ
หน่วยวัด
1.หน่วยในระบบเอสไอ(SI units)
2.แฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วย
ปริมาณและหน่วยที่ต้องการ = ปริมาณและหน่วยเริ่มต้น x หน่วยที่ต้องการ
หน่วยเริ่มต้น
วิธีการทางวิทยาศาสตร์
วิธีการทางวิทยาศาสตร์
1.การสังเกต
2.การตั้งสมมติฐาน
3.การตรวจสอบสมมติฐาน
4.การรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ผล
5.การสรุปผล
หัวข้อที่ควรมีในรายงานการทดลอง มีดังนี้
1.ชื่อการทดลอง
2.จุดประสงค์
3.สมมติฐานและการกำหนดตัวแปร
4.อุปกรณ์และสารเคมี
5.วิธีการทดลอง
6.ผลการทดลอง
7.อภิปรายผลและสรุปผลการทดลอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น