กฎออกเตต อะตอมของธาตุต่างๆ เมื่อรวมตัวกันในสัดส่วนที่ทำให้แต่ละอะตอมมีเวเลนต์อิเล็กตรอน เท่ากับ 8 หรือมีจำนวนเวเลนต์อิเล็กตรอนเท่ากับแก๊สเฉื่อย ยกเว้น H=2
พันธะโคเวเลนต์
เป็นแรงยึดเหนี่ยวภายในโมเลกุลระหว่างอะตอมของอโลหะ ซึ่งมีค่า EN ใกล้เคียงกัน และ IE สูงทั้งคู่ ยกเว้น B และ Be ที่เป็นธาตุอโลหะ แต่สามารถเกิดพันธะโคเวเลนต์ได้
แบ่งเป็น 3 ประเภท
1.พันธะโคเวเลนต์ซึ่งเกิดจากการใช้เวเลนต์อิเล็กตรอนร่วมกัน 1 คู่ เรียกว่า พันธะเดี่ยว(Single bond)
2.พันธะโคเวเลนต์ซึ่งเกิดจากการใช้เวเลนต์อิเล็กตรอนร่วมกัน 2 คู่ เรียกว่า พันธะคู่(Double bond)
3.พันธะโคเวเลนต์ซึ่งเกิดจากการใช้เวเลนต์อิเล็กตรอนร่วมกัน 3 คู่ เรียกว่า พันธะสาม(Triple bond)
สัญลักษณ์ลิวอิส
สัญลักษณ์ลิวอิสแบบจุด คือสัญลักษณ์ที่แสดงเวเลนต์อิเล็กตรอนที่เกี่ยวข้องกับการเกิดพันธะด้วยจุด
สูตรโครงสร้างประเภทนี้จะประกอบด้วยอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะซึ่งแสดงเป็นจุด 2 จุด หรือเส้น 1 เส้น
โมเลกุลที่มีอิเล็กตรินที่ไม่เกิดพันธะ เรียกว่า อิเล็กตรอนโดเดี่ยว ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่เป็นคู่ เรียกว่า อิเล็กตรอนคู่โดเดี่ยว
การเขียนสูตรแบบจุดจากสูตรโมเลกุล
1.หาอะตอมกลาง ซึ่งเป็นอะตอมท่ต้องการเวเลนต์อิเล็กตรอนมากที่สุดหรือมีอะตอมเดียว
2.วางตำแหน่งอะตอมกลาง แล้วเอาอะตอมอืนล้อมรอบ
3.ใส่แขนของแต่ละอะตอมเท่ากับจำนวนพันธะโคเวเลนต์ที่จะเกิด
การเขียนสูตรแบบเส้นจากสูตรแบบจุด
1.เขียนสูตรแบบจุด จากนั้นเปลี่ยนเส้นพันธะ 1 คู่ เป็น เส้น 1 เส้น
2.อาจเขียนอิเล็กตรอนคู่โดเดี่ยงของอะตอมกลางด้วย
โครงสร้างโมเลกุลที่เป็นไปตามกฎออกเตต คือ อะตอมกลางและอะตอมล้อมรอบมีเวเลนต์อิเล็กตรอน เท่ากับ 8
โครงสร้างโมเลกุลที่ไม่เป็นไปตามกฎออกเตต
1.อะตอมกลางมีเวเลนต์อิเล็กตรอนน้อยกว่า 8
2.อะตอมกลางมีเวเลนต์อิเล็กตรอนมากกว่า 8
ความยาวพันธะ หมายถึง ระยะทางระหว่างนิวเคลียสของ 2 อะตอมที่สร้างพันธะกัน โดยขึ้นอยู่กับชนิดของอะตอมที่เกิดพันธะร่วมกัน
1.อพตอมค่า EN สูง ความยาวพันธะจะน้อยกว่าอะตอมที่มีค่า EN ต่ำ
2.พันธะเดี่ยวจะมีความยาวพันธะมากกว่า พันธะคู่ ซึ่งยาวกว่าพันธะสาม
พลังงานพันธะ คือ พลังงานที่ใช้ในการแยกสลายพันธะหรือสร้างพันธะระหว่างอะตอมที่ยึดเหนี่ยวกัน มีหน่วยเป็น kJ/mol
พลังงานที่ใช้ในการสลายพันธะของสารตั้งต้น จะเป็นการดูดพลังงาน แทนด้วยเลขที่เป็นบวก
พลังงานที่ใช้ในการผลิตสารผลิตภัณฑ์ จะเป็นการคายพลังงาน ซึ่งแทนด้วยจำนวนลบ
พันธะสามจะมีพลังงานพันธะมากกว่าพันธะคู่ ซึ่งมากกว่าพันธะเดี่ยว
พันธะสามมีความแข็งแรงพันธะสูงกว่าพันธะคู่ ซึ่งมากกว่าพันธะเดี่ยว
การสลายพันธะ คือ การทำลายพันธะเดิม โดยการลดความร้อนจากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ระบบ(ดูดความร้อน)
การสร้างพันธะ คือ การสร้างพันธะใหม่โดยการคายความร้อนให้กับสิ่งแวดล้อม(คายความร้อน)
การเกิดเรโซแนนซ์ คือ ปรากฏการณ์ที่ทำให้สามารถเขียนโครงสร้างลิวอิสได้มากกว่า 1 แบบ ซึ่งทำให้โมเลกุลมีเสถียรภาพมากขึ้น โครงสร้างที่เกิดปรากฏการณ์นี้ เรียกว่า โครงสร้างเรโซแนนซ์ เช่น SO2
สภาพขั้วโคเวเลนต์
สภาพขั้วพันธะ 1.พันธะโคเวเลนต์ไม่มีขั้ว
เกิดจากอะตอมของธาตุชนิดเดียวกัน เช่น H2
เกิดจากอะตอมของธาตุต่างชนิดกัน ซึ่งถ้ามีผลต่างค่า EN มาก จะมีสภาพขั้วแรง
สภาพขั้วโมเลกุล
1.โมเลกุลไม่มีขั้ว
1)เกิดจากอะตอมที่เป็นพันธะไม่มีขั้ว
2)เกิดจากโมเลกุลที่สมมาตร(เวกเตอร์ลัพธ์เป็น 0)
2.โมเลกุลมีขั้ว
1)เกิดจากอะตอมต่างชนิดกัน
2)เกิดจากอะตอมที่อะตอมกลางมีอิเล็กตรอนคู่โดเดี่ยวเหลืออยู่
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล
1.แรงลอนดอน คือแรงยึดเหนี่ยวที่เกิดในทุกโมเลกุล
โมเลกุลไม่มีขั้วจะมีเฉพาะแรงลอนดอนยึดเท่านั้น(จุดเดือดจุดหลอมเหลวเพิ่มตามมวล)
2.แรงดึงดูดระหว่างขั้ว หรือ ไดโพล-ไดโพลเป็นแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมีขั้ว จะเกิดแรงลอนดอนด้วยเสมอ
แรงไดโพล-ไดโพล + แรงลอนดอน จะเรียกว่า แรงแวนเดอร์วาลส์
3.พันธะไฮโดรเจน เกิดในโมเลกุลมีขั้วระหว่าง H กับอีกธาตุหนึ่งที่มีขนาดเล็กและมีค่า EN สูง
พันธะไฮโดรเจน มีจุดเดือดจุดหลอมเหลวสูง
สารโคเวเลนต์โครงผลึกร่างตาข่าย
จุดเดือดและจุดหลอมเหลวสูงมาก เช่น เพชร แกรไฟต์ ซิลิกอนไดออกไซด์
1.เพชร
1.C เรียงกันเป็นโครงผลึกร่างตาข่าย ไม่ขนานกัน ยึดกันไว้แน่น
2.เป็นแร่ที่มีความแข็งมากที่สุด
3.ไม่นำไฟฟ้า จุดเดือดและจุดหลอมเหลวสูง
2.แกรไฟต์
1.C ยึดกันแบบขนานกัน
2.นำไฟฟ้าได้ดี เปราะแตกง่าย จุดเดือด จุดหลอมเหลวสูง
3.ซิลิกอนไดออกไซด์(SiO2)
2.Si กับ O เรียงตัวกันเหมือน C ในเพชร
3.ทำแก้ว ใยแก้วนำแสง
พันธะโลหะ
การเกิด
1.เกิดแรงยึดระหว่างโลหะ
2.ทุกอะตอมมีการใช้เวเลนต์อิเล็กตรอนร่วมกัน
3.เกิดแรงยึดเหนี่ยวระหว่าง นิวเคลียสและอิเล็กตรอน วิธีเขียน ชื่อธาตุ(สถานะ)
4.เวเลนต์อิเล็กตรอนของพันธะโลหะเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ คล้านกลุ่มหมอกอิเล็กตรอน
สมบัติ
1.เป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี นำไฟฟ้าได้น้อยลงเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น
2.นำความร้อนได้
3.ตีเป็นแผ่นบางๆ ดัดให้โค้งงอ ดึงออกเป็นเส้นได้
4.มีผิวเป็นมันวาวและสะท้อนแสง
5.จุดเดือด จุดหลอมเหลวสูง
6.เขียนสูตรโมเลกุลไม่ได้ เขียนได้แต่สูตรอย่างง่าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น